สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เผือก

เผือก

       ลักษณะทางธรรมชาติ

     * เป็นพืชอายุสั้นฤดูกาลเดียวแต่ปลูกได้หลายรุ่นโดยมีหน่อขยายพันธุ์ต่อ ซึ่งการขยายพันธุ์นี้สามารถจับแยกออกไปปลูกใหม่ในแหล่งอื่นหรือปล่อยให้ต้นขยายพันธุ์เองตามธรรมชาติเหมือนกล้วย 
               
     * ปลูกได้ทุกภาค ทุกพื้นที่ และทุกฤดูกาล เจริญเติบโตดีในดินดำร่วนหรือดินทรายร่วน มีอินทรีย์วัตถุมากๆ ระบายน้ำดี ความชื้นพอเหมาะ ทนต่อสภาพน้ำท่วมขังค้างนานได้แต่ต้นจะชะงักการเจริญเติบโตหรือโตช้า ขนาดหัวเล็ก การเกิดตะเกียงและลูกซอไม่ดี ถึงมีก็คุณภาพไม่ดี

     * อายุต้นหลังปลูก 1 เดือน ช่วงนี้ควรมีใบ 10-14 ใบ เริ่มให้สารอาหารกลุ่มสร้างใบบำรุงต้น และเมื่ออายุต้นหลังปลูก 4 เดือน ช่วงนี้ไม่ควรมีใบ 8-10 ใบ ทุกใบควรหนาเขียวเข้ม ก้านใบใหญ่แข็งแรง ชูใบแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มพื้นที่หน้าใบทุกใบ และเริ่มให้สารอาหารกลุ่มสร้างแป้งและน้ำตาล
                
     * อายุต้นตั้งแต่เริ่มปลูกยืนต้นได้ถึงเก็บเกี่ยว 7-12 เดือนขึ้นกับสายพันธุ์ (พันธุ์หนัก/พันธุ์เบา) และการปฏิบัติบำรุง
 
               
     * นอกจากบริโภคส่วนหัวแล้ว ส่วนใบและก้านใบ ก็ใช้บริโภคได้ ซึ่งส่วนใหญ่ใบและก้านส่งออกต่างประเทศ
 
               
     * ส่วนหัว คือ แหล่งสะสมอาหาร ตราบใดที่ยังบำรุงด้วยสารอาหารกลุ่ม สร้างแป้ง-น้ำตาล อย่างสม่ำเสมอ ทั้งทางรากและทางใบ ตราบนั้นขนาดหัวก็จะใหญ่และมีคุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆแม้จะได้อายุเก็บเกี่ยวแล้วก็ตาม
 
               
     * เมื่อต้นโตขึ้นถึงระยะลงหัวแล้วจะมี ลูกเผือกหรือลูกซอ เป็นเผือกหัวเล็กๆเกิดที่ด้านล่างหัวแม่ ซึ่งลูกซอเหล่านี้จะเจริญเติบโตมีขนาดใหญ่และคุณภาพดีขึ้นต้องอาศัยอาหารจากต้นแม่ หลังจากนั้นจะมี ตะเกียง เป็นลูกเผือกเหมือนกันแต่งอกออกมาจากด้านข้างเหนือพื้นดินของหัวแม่อีก จำนวนลูกซอหรือตะเกียงจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์และการบำรุง
       ทั้งลูกซอและตะเกียงใช้บริโภคหรือใช้ขยายพันธุ์ได้โดยลูกซอให้คุณภาพในการขยายพันธุ์ดีกว่าตะเกียง 
               
     * ระหว่างต้นกำลังเจริญเติบโตนั้น ไม่ควรปล่อยตะเกียงไว้แต่ให้หมั่นเด็ดทิ้งตั้งแต่เริ่มแทงออก
มาให้เห็นเพื่อไม่ให้สิ้นเปลือกน้ำเลี้ยง ส่วนลูกซออยู่ใต้หัวแม่ให้คงเก็บไว้

     * หลังจากเก็บเกี่ยว (ถอน)หัวต้นแม่ออกไปแล้ว ปล่อยลูกซอทิ้งไว้ที่เดิมโดยไม่มีการเคลื่อนย้ายใดๆทั้งสิ้น ให้คลุมด้วยแกลบดำ (เก่าค้างปี)หนาๆ ทับด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งอีกชั้นเพื่อรักษาความชื้นและไม่ต้องให้น้ำจะช่วยรักษาไว้ได้นานนับเดือนโดยลูกซอกไม่งอก เมื่อไม่ให้น้ำแล้วก็ต้องป้องกันน้ำค้างหรือน้ำฝนตกใส่ด้วยมิฉะนั้นลูกซอจะงอก                
      ถ้าจะไม่ปล่อยทิ้งลูกซอไว้ที่หลุมเดิมก็ได้แต่ต้องทำหลุมขนาดลึก 20-30 ซม. กว้าง/ยาวตามความเหมาะสม อยู่โคนต้นไม้หรือที่ร่มเย็น อากาศถ่ายเทสะดวก ไม่มีแสงแดด และป้องกันน้ำได้ดี รองก้นหลุมด้วยแกลบดำ หนา 5-10 ซม. ปรับเรียบแกลบดำ แล้ววางเรียงลูกซอที่เก็บมาจากหลุมเดิม (ไม่ต้องล้าง)ลงไป โรยแกลบดำทับหนา 10-20 ซม. คลุมด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆอีกชั้นหนึ่ง ก็สามารถเก็บรักษาลูกซอได้นาน 8-10 เดือนเช่นกัน โดยไม่เสื่อมความงอกและเป็นการพักต้นก่อนนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อ ซึ่งจะส่งผลให้ได้เปอร์เซ็นต์ความงอกสูง
 
               
     * เผือกมีดอก เป็นดอกสมบูรณ์เพศผสมตัวเองหรือต่างดอกต่างต้นได้ เมื่อดอกพัฒนาเป็นผลจนมีเมล็ดแล้วนำเมล็ดไปขยายพันธุ์ได้แต่กลายพันธุ์และให้ผลผลิตช้า

     
* เคยมีผู้เปรียบเทียบไว้ว่า พื้นที่ไร่ต่อไร่ ปลูกเผือกรายได้มากว่าข้าว 7 เท่า
โดยเผือก 1 รุ่น 7 เดือนกับนาข้าว 2 รุ่น 7 เดือนเท่ากัน
                 

      สายพันธุ์
                
      เผือกหอม :
                     
      พิจิตร-016.  พิจิตร-019. พิจิตร-08. เผือกหอมเชียงใหม่.
   
   เผือกไม่หอม :     
      พิจิตร-06.  พิจิตร-025.  พิจิตร-012
                
      พันธุ์พื้นเมือง :    
      เผือกเหลือง.  เผือกไม้หรือเผือกไหหลำ.  เผือกตาแดง. เผือกน้ำ. หัวขนาดเล็ก (500-800 กรัม) เนื้อแน่น รสชาติดี
                
      พันธุ์เนื้อสีขาวหรือครีม :            
      พิจิตร-06,-07,-025,-014 (เผือกบราซิล),ศรีปาลาวี.ศรีรัศมี (เผือกอินเดีย).
      พันธุ์เนื้อสีขาวอมม่วง :              
      เผือกหอมเชียงใหม่.  พิจิตร-016,-08,-05,020.
 
                
      หมายเหตุ :
                
    - เผือกหอมพิจิตร-016 แตกตะเกียง 10-12 ตะเกียง/ต้น ทำให้ประหยัดเวลาและแรงงานปลิดตะเกียงทิ้งเพื่อไม่ให้แย่งอาหารจากต้น (หัว)แม่ มีเปอร์เซ็นต์และน้ำตาลสูงสุดในบรรดาเผือกทุกสายพันธุ์ ส่วนเผือกหอมเชียงใหม่ 20-25 ตะเกียง/ต้น
    - เผือกน้ำต้องปลูกในแปลงมีน้ำหล่อระดับน้ำลึกพอท่วมคอดินจะโตเร็วให้ผลผลิตดี
   
                 
      
     เตรียมดิน อินทรีย์วัตถุ และแปลงปลูก
    
1.ไถดินเปล่าให้ขี้ไถขนาดใหญ่ ทิ้งตากแดดจัด 15-20 แดดเพื่อฆ่าเชื้อโรคและกำจัดเหง้าวัชพืช                
    2.ใส่อินทรีย์วัตถุ ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ + มูลค้างคาว) หมักข้ามปี. ยิบซั่มธรรมชาติ. กระดูกป่น. เศษพืช. หว่านทั่วแปลงปลูกแล้วไถพรวนอินทรียวัตถุคลุกเคล้าลงดินให้ทั่วถึง
                
    3.ไถยกร่องลูกฟูก สันร่องกว้าง 1-1.20 ม. โค้งหลังเต่า สูงจากพื้นระดับ 30-50 ซม. ร่องทางเดินระหว่างสันแปลงกว้าง 1 ม. ลึก 20-30 ซม.จากพื้นระดับ
    4.คลุมหน้าแปลงด้วยฟางหรือหญ้าแห้งหนาๆ                
    5.บ่มดินโดยรดด้วย น้ำ + จุลินทรีย์หน่อกล้วยหรือปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก) ทุก 5-7 วัน ติดต่อกันนาน 1 เดือน เพื่อให้เวลาแก่จุลิน
ทรีย์ปรับสภาพดิน กำจัดเชื้อโรค และย่อยสลายอินทรีย์วัตถุให้เป็นฮิวมิค แอซิด
    6.ลงมือปลูกต้นกล้าที่เพาะไว้ล่วงหน้าแล้วโดยปลูกที่ริมสันลูกฟูกเป็น  2 แถวคู่ตรงกันหรือสลับฟันปลาก็ได้                 

      หมายเหตุ :
                
    - ดัดแปลงร่องทางเดินข้างสันลูกฟูกสำหรับปล่อยน้ำ (น้ำเปล่าหรือน้ำสารอาหาร) จากลาดสูงไปหาลาดต่ำเข้าไปหล่อในร่องได้ 1-2 เดือน/ครั้งจะดีมาก
    - ติดตั้งระบบสปริงเกอร์เหนือยอด 30-50 ซม.สำหรับให้น้ำเปล่า น้ำสารอาหาร หรือสารสกัดสมุนไพรนอกจากช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ประสิทธิผลของเนื้องานแล้วยังช่วยประหยัดทั้งเวลาและแรงงานอีกด้วย                 

      เตรียมสารอาหารเสริม 
                
    
- ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก)หรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง                
    - ให้ฮอร์โมนบำรุงพืชกินหัว (มูลสัตว์ปีกสกัด)1-2 เดือน/ครั้ง หลังจากเริ่มลงหัวแล้ว
    - ให้ ฮอร์โมนน้ำดำ เดือนละ 1 ครั้งตั้งแต่เริ่มลงหัวถึงเก็บเกี่ยว
                  
      หมายเหตุ :
                
    - ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
    - เผือกเป็นพืชที่มีนวลใบหนามาก การใช้สารอาหารทางใบจึงจำเป็นต้องผสมสารจับใบบด้วยทุกครั้ง หรือตามความเหมาะสม                 

      ระยะปลูก
                
      ระยะปกติ 50 X 75 ซม.
                
      ระยะชิด  45 X 50  ซม.
                
      หมายเหตุ :               
                
    - การปลูกระยะชิดมากเกินไปเมื่อต้นโตขึ้นใบจะตั้งตรงเพราะเบียดกับต้นข้างเคียง การที่ใบไม่สามารถแผ่กางรับแสงแดดได้เต็มพื้นที่หน้าใบ ทำให้การสังเคราะห์อาหารไม่ดีจึงส่งผลให้ผลผลิตไม่ดีด้วย และการปลูกห่างเกินไปนอกจากทำให้เสียเนื้อที่แล้วยังทำให้แสงแดดส่องถึงพื้นจนวัชพืชเจริญเติบโตได้อีกด้วย...การจัดระยะปลูกที่พอดี ไม่ชิดหรือไม่ห่างจนเกินไปจะทำให้ได้ผลผลิตปริมาณมากและคุณภาพดี 
                 

      ขยายพันธุ์
                
    - เลือกลูกซอที่ผ่านการเก็บใต้หัวแม่อย่างถูกวิธีนาน 1-2 เดือน
     
    - เตรียมกระบะหรือปรับเรียบพื้นที่เพื่อใช้แทนกระบะ  ขนาดกว้างยาวตามความเหมาะสม  อยู่ในร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ระบายน้ำดีและป้องกันน้ำท่วมได้ รองพื้นด้วยแกลบดำ (เก่าค้างปี) ปรับเรียบหนา 10-20 ซม. วางลูกซอหรือตะเกียง ระยะห่าง 5-10 ซม. โรยทับด้วยแกลบดำอีกชั้นหนา 15-20 ซม. แล้วคลุมทับบนด้วยเศษหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ รดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ  ประมาณ 20-30 วัน ลูกซอหรือตะเกียงก็จะเริ่มงอกมีใบแทงขึ้นมาเป็นต้นกล้า
    - เมื่อต้นกล้าโตได้ 2-3 ใบ  ให้ถอนแยกไปปลูกในแปลงจริงได้
                
      หมายเหตุ :
                
      แช่ลูกซอหรือตะเกียงใน “น้ำ 100 ล.+ ไคตินไคโตซาน 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ จุลินทรีย์หน่อกล้วย 100 ซีซี.”  นาน 12-24 ชม. นำขึ้นผึ่งลมจนแห้งก่อน แล้วจึงนำไปเพาะ นอกจากทำให้ลูกซอหรือตะเกียงได้สะสมอาหารไว้ตั้งแต่ก่อนเกิดซึ่งจะส่งผลให้ต้นกล้าสมบูรณ์โตเร็วแล้ว ยังช่วยกำจัดเชื้อโรคที่อาจปนเปื้อนมากับลูกซอหรือตะเกียงอีกด้วย
  

                  
ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อเผือก       

    1.ระยะต้นเล็ก
                
      ทางใบ :
                
    - ให้น้ำ 100 ล.+ 25-5-25 (200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร ทุก 5-7 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ ช่วงเช้าแดดจัด
     
    - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน   
                
      ทางราก :
                
    - ให้ ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7(1-2 กก.)ไร่ ใส่ถังสพายฉีดโคนต้น  ทุก 15-20 วัน
    - ให้น้ำปกติ  ทุก 3-5 วัน                 
      หมายเหตุ :
                
    - เริ่มให้เมื่ออายุต้นได้  1 เดือนหลังปลูก  หรือมีใบแตกใหม่ 2-3 ใบ
    
    - ไม่ควรใช้ยาฆ่าหญ้าอย่างเด็ดขาดตั้งแต่เริ่มปลูกถึงเก็บเกี่ยว
        
    - พรวนดินแล้วพูนโคนทุก 1 เดือน
        

      2.ระยะลงหัว – เก็บเกี่ยว
                
        ทางใบ :
                
      - ให้น้ำ 100 ล.+ 5-10-40(200 กรัม)+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 10-15  ฉีดพ่นพอเปียกใบ
      - ให้ฮอร์โมนน้ำดำ 2-4 รอบ โดยแบ่งให้ตลอดช่วงลงหัว ถึงก่อนเก็บเกี่ยว
      - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน 
                
        ทางราก :                 
                
      - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพสูตรระเบิดเถิดเทิง (เน้น...มูลค้างคาวหมัก)+ 5-10-40(1-2 กก.)/ไร่/เดือน  ใส่ถังสพายฉีดโคนต้น  เดือนละ 1 ครั้ง 
      
      - ให้น้ำปกติ  ทุก 3-5 วัน
                
        หมายเหตุ :
                
      - เริ่มให้เมื่ออายุต้น  4 เดือนหลังปลูกหรือเริ่มลงหัว 
         
      - กรณีปุ๋ยทางดินอาจพิจารณาใช้ 8-24-24 + 0-0-60(1:1)แทน 5-10-40ได้ด้วยอัตราใช้เดียวกัน 
         
      - การให้ฮอร์โมนน้ำดำ เดือนละ 1 ครั้ง จะได้แม็กเนเซียมบำรุงใบให้เขียวตลอดอายุและสังกะสีช่วยสร้างแป้ง
         
      - ระหว่างลงหัวควรบำรุงรักษาให้มีใบ 8-11 ใบขนาดใหญ่  ก้านใหญ่ และสูง 1.20-1.50 ม. จะได้ผลผลิตดีมาก
                
      - ก่อนลงมือเก็บเกี่ยวให้ตรวจสอบอายุ (ประจำสายพันธุ์) และสังเกตใบล่างเริ่มเหี่ยวเหลืองในขณะที่ใบบน 2-3 ใบยังเขียวสดอยู่

view