สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

แคนตาลูป



แคนตาลูป

           ลักษณะทางธรรมชาติ

        * เป็นพืชตระกูลเถาเลื้อยขึ้นค้างแต่ไม่มีมือเกาะ  อายุสั้น (75-85 วัน) ฤดูกาลเดียว  ชอบดินดำโปร่งร่วนซุยหรือดินปนทราย  มีอินทรีย์วัตถุมากๆ  เนื้อดินไม่อุ้มน้ำแต่ต้องไม่แห้ง ระบายน้ำดี  อากาศผ่านสะดวก  ต้องการแสงแดดร้อยเปอร์เซ็นต์
        * ชอบความชื้นในดินสูง ถ้าขาดน้ำหรือน้ำไม่พอและถ้าน้ำมากเกินไปหรือแฉะต้นจะชะงักการเจริญเติบโต  การให้ด้วยระบบน้ำหยดซึ่งจะทำให้ดินปลูกชุ่มชื้นตลอดเวลาจึงเป็นทางเลือกที่ ดีที่สุด
        * เทคนิคการบำรุงด้วยระบบ  "น้ำหยด + ปุ๋ย"  ให้ต้นได้รับสารอาหารแบบต่อเนื่องตลอด 24 ชม. แล้วเสริมด้วยฮอร์โมนโดยให้ทางใบตามระยะพัฒนาการ  ตั้งแต่เกิดถึงผลแก่เก็บเกี่ยว
จะช่วยให้ได้ผลผลิตที่คุณภาพดีมาก
        * บำรุงรักษาไม่ให้ใบแรกร่วงเลยแม้แต่ใบเดียวตั้งแต่แรกเกิดจนถึงผลแก่เก็บเกี่ยว  จะช่วย
ให้ผลผลิตคุณภาพดีมาก
        * แคนตาลูปใบใหญ่หนาเขียวเข้ม  เถาใหญ่  ช่วงระหว่างข้อยาว จะให้ผลผลิตคุณภาพดี
มาก 
        * สันแปลงปลูกควรสูงกว่าพื้นระดับ 30-50 ซม. และร่องทางเดินระหว่างสันแปลงลึก 20-30 ซม. กว้าง 50-80 ซม. พื้นก้นร่องราบ...........ช่วงหน้าแล้งให้ใส่น้ำในร่องทางเดินเพื่อสร้าง ความชุ่มชื้นในดินและความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศ
        * ปกติเป็นพืชเมืองร้อนแต่ไม่ค่อยได้รับความนิยม แต่ครั้นประเทศเขตหนาวและเขตอบอุ่นนำไปปลูกแล้วพัฒนาสายพันธุ์ให้ดีขึ้น เนื่องจากตลาดให้ความนิยมสูง แคนตาลูปจึงกลายเป็นพืชเขตหนาวและเขตอบอุ่นไปโดยปริยาย จากนั้นย้อนกลับมาปลูกในเขตร้อนอีกครั้งทั้งๆที่เป็นถิ่นกำเนิดเดิมกลับไม่ เจริญเติบโตเท่าที่ควร ดังนั้นหากคิดจะปลูกแคนตาลูปต้องพิจารณาสายพันธุ์ด้วยว่าเป็นสายพันธุ์ที่มา จากเขตหนาว เขตอบอุ่นหรือเขตร้อน    ปัจจุบันแคนตาลูปในประเทศไทยได้รับการปรับปรุงสายพันธุ์จนจนกระทั่งเหมาะสม กับสภาพอากาศเมืองร้อนจึงสามารถเจริญเติบโตและให้คุณภาพที่ตลาดต่างประเทศ ยอมรับมากขึ้น...........สายพันธุ์ที่ผ่านการพัฒนาในประเทศไทย ถ้าปลูกในพื้นที่อากาศเย็นนานติดต่อกัน  อายุเก็บเกี่ยวจะช้ากว่าปลูกในเขตร้อนชื้น 7-10 วัน แต่คุณภาพไม่ต่างกัน
        * แคนตาลูปที่ใช้เมล็ดพันธุ์จากต่างประเทศไม่สามารถนำเมล็ดมาขยายพันธุ์ต่อได้ เพราะเป็นสายพันธุ์ไฮบริด (ลูกผสม/เป็นหมัน) แต่สายพันธุ์ในประเทศสามารถนำเมล็ดมาขยายพันธุ์ต่อไป
        * ปลูกได้ทุกพื้นที่ในประเทศและปลูกได้ทุกฤดูกาลแต่ต้องมีระบบจัดการดี
        * ต้นที่ได้รับการบำรุงดี มีสารอาหารกินอย่างสม่ำเสมอตลอด 24 ชม.จนได้เถาใหญ่  ใบใหญ่หนาเขียวเข้ม  และใบไม่ร่วงเลยตั้งแต่เริ่มงอกถึงเก็บเกี่ยวจะได้ผลผลิตดี
        * นิสัยออกดอกง่ายและออกมากหรือเกือบทุกข้อใบ
        * เกสรตัวผู้หรือเกสรตัวเมียอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างไม่สมบูรณ์เกิดจากขาดสาร
อาหาร/ฮอร์โมนหรือสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม (อากาศร้อนหรือฝนตกชุก) ผสมกันแล้วพัฒนาเป็นผลจะเป็นผลไม่สมบูรณ์ ไม่โต รูปทรงบิดเบี้ยว
        * ตอบสนองต่อธาตุรอง.  ธาตุเสริม.  ฮอร์โมน.ดีมาก  จึงควรให้บ่อยๆ
        * ห่อผลด้วยถุงยังเคราะห์หรือกระดาษถุงปูนซิเมนต์เมื่อขนาดเท่าไข่เป็ด  หรืออายุผลได้ 40 วันหลังผสมติดจะช่วยป้องกันแมลงศัตรูพืช  รักษาสีผิวเปลือกให้สวยนวลและเพิ่มคุณภาพ
           การ ห่อด้วยถุงห่อขนาดเล็กจะต้องเปลี่ยนถุงห่อเมื่อขนาดผลโตคับถุง      การใช้ถุงขนาดใหญ่นอกจากจะใช้ได้จนผลขนาดใหญ่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ แล้ว  ยังทำให้ถุงไม่เสียดสีกับผิวจนทำให้ผิวเสียและอากาศถ่ายเทสะดวกซึ่งจะส่ง ผลดีต่อผลอีกด้วย........พื้นที่ลมแรง อาจจะพิจารณาใช้ตาข่ายโฟมห่อผลก่อนแล้วจึงห่อซ้อนด้วยถุงอีกชั้นหนึ่งก็ได้
        *  ผลที่มีลักษณะขั้วใหญ่  ก้านยาว  อวบอ้วน  น้ำหนักดีจะมีคุณภาพ (เนื้อ กลิ่น รส) ดี
        * แคนตาลูปเป็นผลไม้ที่เก็บเกี่ยวแล้วไม่ต้องบ่ม  เพราะฉะนั้นจึงต้องเก็บช่วงผลแก่จัดคาต้น  ผลแก่ไม่จัด  เมื่อเก็บลงมาแล้วคุณภาพผลเป็นอย่างไรก็จะเป็นอย่างนั้นจนกระทั่งเน่าไปเลย
  
      * ขนาดผลเท่ากันแต่ผลที่น้ำหนักมากกว่า  กลิ่นดีกว่า  จะคุณภาพดีกว่าเสมอ
        * ตลาดเมืองไทยนิยมผลขนาดใหญ่มากกว่าผลขนาดเล็ก

           สายพันธุ์
           พันธุ์ผิวลายตาข่าย :
           -
ซันไรซ์ ผิวสีเหลืองอ่อน  เนื้อสีส้มอ่อน ผลดก อายุเก็บเกี่ยวสั้น กลิ่นหอม
           - นิวเซนทูรี่  ผิวสีเหลืองอมเขียวอ่อน  เนื้อหนาสีส้มอ่อน  รสหวานมาก  กลิ่นหอม  น้ำหนัก 1-1.5 กก.
           - สกายร็อกเก็ต (ผิวสีเขียว  เนื้อสีเขียว  อายุเก็บเกี่ยวปานกลาง  ติดผลดก  รสหวาน
มาก
           - เดลิเกต ปลูกได้ทั้งในโรงเรือนและกลางแจ้ง เถาสั้น  เนื้อหนาสีเขียว  น้ำหนัก 1-1.2 กก.  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
           - ซันไรท์ (ชอบทั้งอากาศร้อนและเย็น  เนื้อหนาชุ่ม  สีส้มอ่อน  น้ำหนัก 1-1.5 กก.  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  กลิ่นหอม
           - คาร์โก- 434  ทนต่ออากาศร้อนได้ดี  ผิวสีเขียว  เนื้อหนา รสชาติดี กลิ่นหอม  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  น้ำหนัก 1-1.5 กก.
           - เอ็มเมิร์ลดิง(ผิวสีเขียวอ่อน เนื้อเหลืองอ่อน รสหวาน กลิ่นหอมอ่อนๆ อายุเก็บเกี่ยวสั้น น้ำหนัก 1-1.5 กก.)
            พันธุ์ผิวเรียบ :
    
        - สโนว์ชาร์ม  ชอบอากาศเย็น ผิวสีเหลืองครีม  เนื้อหนาสีส้มอ่อนอมชมพู  กรอบอ่อนนุ่ม  น้ำหนัก 1-1.5 กก.  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  ติดผลดก  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ซันเลดี้  ปลูกง่าย  ผิวขาวครีม  ติดผลดก  เนื้อหนานุ่มสีส้ม  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
            - เรดควีน  เถาสั้น  สีผิวเหลืองครีม  รสหวานจัด  อายุเก็บเกี่ยวปานกลาง กลิ่นหอม  น้ำหนัก 1 กก.
            - เจดดิว  สีผิวเขียวอมเหลือง  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  เนื้อหนาสีเขียว  น้ำหนักผล 1-1.5 กก.  รสชาติดีมากหวานจัด  กลิ่นหอม
            - สวอน (ปลูกง่ายอายุเก็บเกี่ยวสั้น  ให้ผลดก 7-8 ผล/ต้น  น้ำหนัก 700-800 กรัม  เนื้อสีขาว  รสหวาน  กลิ่นหอม
            - ซิลเวอร์ สตาร์ (สีผิวครีมอ่อน   อายุเก็บเกี่ยวสั้นมาก  น้ำหนัก 1.5-2 กก.  เนื้อสีเขียวอมขาว  รสชาติดีหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ซิลเวอร์ ไรท์  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  ทนต่ออากาศร้อนดี  น้ำหนัก 400-500 กรัม  เนื้อสีเขียวอ่อน รสหวานปานกลาง กลิ่นหอม
            - ซัน บิวตี้  ชอบอากาศเย็น  สีผิวเขียวอมเหลือง  เนื้อสีขาวอมเหลือง  น้ำหนัก 1-1.2กก.  รสชาติดีหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ซูการ์บอลล์  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  สีผิวครีมอ่อน สีเนื้อเขียวหยก น้ำหนัก 800-900 กรัมรสชาติดีมากหวานจัด  กลิ่นหอม
            - ฟาร์เมอริส นัมเบอร์ทรู (ทนต่ออากาศร้อนดี  อายุเก็บเกี่ยวสั้น  สีผิวเหลืองสดใส  เนื้อขาวหนาปานกลาง
            - เจด  นิยมปลูก  ปลูกง่าย  ผลดก  สีผิวเขียวอมเหลือง  น้ำหนัก 500-700 กรัม  เนื้อสีเขียวอ่อนหนาปานกลาง  รสหวานจัด  กลิ่นหอม
          หมายเหตุ  :
          ในญี่ปุ่นเพียงประเทศเดียวปลูกแคนตาลูปมากกว่า 50 สายพันธุ์  ทุกสายพันธุ์ต่างก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน

          การขยายพันธุ์
          เพาะเมล็ด (ไม่กลายพันธุ์)

         เตรียมแปลง
       - ยกร่องแห้งลูกฟูก  สันร่องสูง 30-50 ซม.โค้งหลังเต่า  กว้าง 1-1.20 ม.  ร่องระหว่างสันแปลงกว้าง 1 ม.  ลึกจากพื้นระดับ 25-30 ซม.  ก้นสอบ
       - ปลูกในถุงหรือภาชนะปลูก  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 18-24 นิ้ว  สูง 30-50 ซม. เจาะรูด้านล่างและด้านข้างเพื่อระบายน้ำ  จัดวางถุง ณ ตำแหน่งที่ต้องการปลูกให้แน่นอนมั่นคง  หลังจากลงมือปลูกแล้วไม่ควรย้ายตำแหน่งวางถุงอีกเด็ดขาดเพราะอาจจะกระทบกระเทือนรากหรือเถา (ต้น) ได้  การปลูกในช่วงฤดูฝนหรือแปลงปลูกที่น้ำท่วมแนะนำให้ทำยกร้านแล้ววางถุงปลูกบนยกร้านนั้น

           เตรียมดิน
           ปลูกลงแปลง  :
       
1. เริ่มจากไถดินตากแดดจัด 15-20 แดดเพื่อกำจัดเชื้อโรคและวัชพืช    ระหว่างตากแดดถ้ามีฝนตกต้องไถดินใหม่และเริ่มตากแดดใหม่
       2. ใส่อินทรีย์วัตถุและสารปรับปรุงบำรุงดิน (ยิบซั่มธรรมชาติ กระดูกป่น ปุ๋ยคอก เศษพืชแห้ง)
    
  3.  ไถด้วยโรตารี่คลุกอินทรีย์วัตถุกับเนื้อดินให้เข้ากันดี
      4.  คลุมแปลงด้วยหญ้าแห้งหรือฟางหนาๆ
      5.  บ่มดินโดยรดด้วยน้ำจุลินทรีย์หรือปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง ทุก 15 วัน  ติดต่อกันนาน 1-2 เดือน

          ปลูกในถุง  :
      1. เตรีมวัสดุปลูก (ดินปลูก) เหมือนดินที่เตรียมปลูกแบบปลูกลงแปลง
 
     2. บรรจุวัสดุปลูกหมักได้ที่แล้วลงถุงให้เต็ม อัดแน่นพอประมาณ คลุมปากถุงด้วยหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ
          หมายเหตุ  :
        - เกษตรกรอิสราเอล  ไต้หวัน  ญี่ปุ่น  เกาหลี  กับอีกหลายประเทศที่มีเทคโนโลยีการเกษตรสูงและมีความเข้าใจเรื่องพืชอย่าง แท้จริง ปลูกไม้ผลตระกูลเถาอายุสั้นฤดูกาลเดียว เช่น แคนตาลูป แตงโม  แตงกวา ฯลฯ  ในถุง (ภาชนะปลูก) ด้วยดิน (วัสดุปลูก) ที่สามารถควบคุมชนิด/ปริมาณสารอาหาร/น้ำได้ และปลูกในโรงเรือนที่สามารถควบคุมอุณหภูมิได้ (อิสราเอลร้อน-แล้ง.......ไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลี หนาว)
           เกษตรกร ไทยไม่มีปัญหาร้อน-หนาว-แล้งจึงเหลือเพียงปัญหา “ดินหรือวัสดุปลูกและสารอาหาร” เท่านั้น      การนำแนวทางบางอย่างของเกษตรกรในกลุ่มประเทศดังกล่าวมาประยุกต์ใช้บ้าง  จึงน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
    แนวทางเลือกแบบไทย-ไทย ต่อการปลูกไม้ผลตระกูลเถาอายุสั้นฤดูกาลเดียว   คือ........
         - เตรียมดินปลูกหรือวัสดุปลูกปริมาณ 1 ตัน ด้วย.......เศษพืช (แกลบเก่าหรือรำหยาบ. ขุยมะพร้าว. ทะลายปาล์ม. เปลือกถั่วลิสง. ต้นถั่วหรือซังข้าวโพด. ฟาง. ฯลฯ) หลายๆ อย่างๆละเท่าๆกัน เพื่อความหลากหลาย บดป่นตากแห้ง 300 กก.  ........ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม 100 กก.  มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา 30 กก.  มูลค้างคาว 5 กก.) แห้งเก่าค้างปีหมักชีวภาพ .......ยิบซั่มธรรมชาติ 50 กก. .......กระดูกป่น 10 กก. ........ ฮิวมิค แอซิด 100 กรัม. .......ดินดำร่วนหน้าดินตากแห้ง 500 กก.
        - เตรียมน้ำสารอาหาร จุลินทรีย์ และฮอร์โมน 100 ล.  ด้วย........น้ำ 100 ล. + จุลินทรีย์หน่อกล้วยหรือน้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง 5 ล. + ฮอร์โมนไข่  2 ล. + เลือดสัตว์สด 1 ล. +
นมสัตว์สดหรือกลูโคส 3 ล. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม (ซื้อ) 1 ล. + ยูเรีย 10  กก.
        
- ผสมคลุกวัสดุปลูกทุกอย่างให้เข้ากันดีพร้อมกับพรมด้วยน้ำสารอาหารฯ ให้ได้ความชื้น 50-75 เปอร์เซ็นต์  เสร็จแล้วทำกอง  หมักทิ้งไว้ 3-6 เดือน  ระหว่างหมักช่วงนี้ถ้าอุณหภูมิในกองจะสูงถึงขนาดมีควันลอยขึ้นมา (ถือว่าดี) ให้กลับกองบ่อยๆ  แต่ถ้าอุณหภูมิไม่สูงหรือไม่มีควัน (ถือว่าไม่ดี) ให้เติมยูเรียและจุลินทรีย์แล้วหมักต่อไปตามปกติ
        
- อุณหภูมิในกองเย็นลงหรือหมดควันแล้วให้กลับกองทุก 7-10 วันเพื่อถ่ายเทอากาศ หมักครบกำหนดแล้วได้  “วัสดุหรือดินหมักชีวภาพ”  พร้อมใช้งาน
        - บรรจุวัสดุปลูกหรือดินปลูกที่ผ่านการหมักดีลงถุงหรือภาชนะปลูกแล้วลงมือปลูก พืช(แคนตาลูป  แตงโม  แตงกวา ฯลฯ) ที่ต้องการต่อไป

          ระบบให้น้ำ  :
      1.  ติดตั้งระบบน้ำหยดสำหรับให้น้ำและสารอาหารทางราก
      2.  ติดตั้งระบบสปริงเกอร์พ่นฝอยเหนือต้นสำหรับให้สารอาหารและสารสกัดสมุนไพรทางใบ
         หมายเหตุ  :
       - กรณีปลูกในแปลงแล้วไม่มีระบบน้ำหยด เมื่อต้องการให้น้ำหรือสารอาหารทางรากสามารถทำได้โดยการปล่อยน้ำไปตามร่อง ระหว่างแปลงปลูก แล้วเพิ่มเติมด้วยน้ำพ่นฝอยจากสปริงเกอร์เหนือต้นฉีดพ่นน้ำลงพื้นเพื่อสร้าง ความชื้นหน้าดิน
       - กรณีปลูกในถุงไม่มีทางเลือกจำเป็นต้องอาศัยสปริงเกอร์เท่านั้น  แม้แต่สปริงเกอร์แบบพ่นฝอยเหนือต้นก็ไม่เหมาะสม เพราะน้ำที่ผ่านปากถุงลงไปถึงดินปลูกไม่เพียงพอ ต้องใช้สปริงเกอร์พ่นฝอยเหนือต้น 1 หัว  แล้วติดหัวสปริงเกอร์ที่ปากถุงอีกถุงละ 1 หัวเท่านั้น

         เตรียมเมล็ดพันธุ์ :
         ตรวจ สอบวันหมดอายุและภาชนะบรรจุเมล็ดพันธุ์........นำเมล็ดพันธุ์ลงแช่ในน้ำ เกลือเจือจาง คัดเมล็ดลอยทิ้งเพราะเสื่อมสภาพ  เลือกใช้เฉพาะเมล็ดจมน้ำ  นำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง.........นำเมล็ดพันธุ์ที่เลือกได้แล้วลงแช่ใน  น้ำ + ไคตินไคโตซาน + ธาตุรอง/ธาตุเสริม  นาน 12 ชม.  นำขึ้นมาหุ้มผ้าชื้น (ห่ม) เก็บในที่เย็นชื้นอีกรอบนาน 24 ชม. หรือจนกระทั่งเมล็ดเริ่มปริและเริ่มมีรากแทงออกให้เห็นจึงนำไปปลูก

         เตรียมหลักค้าง :
         แคนตาลูปเป็นพืชเลื้อยไม่มีมือเกาะ การปลูกแบบให้เลื้อยขึ้นหลักเถา (ต้น) ละ 1 หลัก  ระยะห่างระหว่างหลักเท่ากับระยะปลูก
         
กรณี ปลูกในแปลงยกร่องให้กำหนดจุดที่จะปลูกจริงแล้วปักหลัก ณ จุดนั้น  ส่วนการปลูกในถุงให้ปักลงกลางปากถุงทะลุลงดินลึกพอประมาณเพื่อให้หลักมั่นคง
          ปัก หลักแบบตั้งฉากกับพื้นหรือเอียงเล็กน้อยให้พิจารณาตามความเหมาะสมหรือความ สะดวกในการเข้าไปทำงานที่สำคัญก็คือหลักนั้นต้องปักแน่นมั่นคง

          ระยะปลูก :
        - ปลูกลงแปลง ปลูกริมแปลงทั้ง 2 ด้านสลับฟันปลา ห่างจากขอบริมแปลง 20-30 ซม.  ระยะห่างระหว่างต้น (หลุม) 50-75 ซม.ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์
        -  ปลูกในถุง  วางถุงห่างกัน 50-75 ซม. หรือตำแหน่งที่เหมาะสมตามความต้องการ

           วิธีปลูก :
       1. หยิบเมล็ดจากถุงห่มเบาๆอย่าให้รากที่เริ่มงอกออกมาแล้วนั้นหัก กระทบกระเทือน หรือช้ำมากนัก  เทคนิคอย่างหนึ่ง คือ ระหว่างที่ห่มเมล็ดให้หมั่นเปิดถุงห่มดูเป็นระยะๆ  เมื่อเห็นว่ารากเริ่มปริ่มออกมาแล้วให้นำลงปลูกทันที ไม่ควรปล่อยให้รากออกมายาวเกินไปเพราะรากจะพันกันจนแกะไม่ออกหรือฉีกหักได้
        2. ใช้ปลายไม้เล็กๆขุดหลุมลึก 1-1.5 ซม. วางเมล็ดลงไปแล้วเกลี่ยดินที่เป็นฝอยละเอียดกลบเบาๆ  ไม่ต้องกดเพราะอาจจะทำให้รากขาดหรือหักได้
        3. คลุมหลุมปลูกด้วยหญ้าหรือฟางแห้งหนาๆ  ถ้าเป็นฟางหมักหมักชีวภาพจนเปื่อยยุ่ยจะดีมาก
        4. ถ้ามั่นใจเปอร์เซ็นต์งอกให้หยอดหลุมละ 1 เมล็ด  แต่ถ้าไม่มั่นใจให้หยอดหลุมละ 2 เมล็ด  เมื่อต้นกล้าโตขึ้นได้ใบ 2-3 คู่แล้วให้เลือกคัดออก 1 ต้นด้วยการใช้กรรไกคมๆตัดต้นนั้นทิ้งไปแล้วทาแผลด้วยปูนกินหมาก ไม่แนะนำให้ถอนด้วยเมือเพราะจะกระทบกระเทือนต่อรากของต้นที่คงไว้
          หมายเหตุ  :
        - การปลูกแคนตาลูปทำได้ 3 วิธี คือ  ปลูกในถุง (มีค้าง).   ปลูกในแปลง (มีค้าง).  และปลูกบนพื้น(ไม่ต้องมีค้าง ปล่อยให้เลื้อยไปบนพื้น).
        - ปลูกโดยเพาะเมล็ดในกระบะเพาะกล้าก่อนเมื่อกล้าโตได้ 4-5 ใบจึงย้ายลงปลูกในแปลงจริง หรือปลูกโดยหยอดเมล็ดลงในแปลงปลูก/ถุงปลูกโดยตรง วิธีปลูกให้หยอดเมล็ดในแปลงปลูก/ถุงปลูกโดยตรงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เร็ว กว่าวิธีปลูกแบบเพาะเมล็ดแล้วย้ายต้นกล้า 10-15 วัน

ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงต่อแคนตาลูป         
 
        1. ระยะต้นกล้า
            ทางใบ  :
            - ให้น้ำ 100 ล.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + จิ๊บเบอเรลลิน 10 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.   ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น  ทุก 5-7 วัน
            - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
              ทางราก  :
            - ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้นด้วยระบบน้ำหยด
              หมายเหตุ  :
            - ช่วงกล้าตั้งแต่เริ่มงอก ถึง ได้ใบ 4-5 คู่ ยังไม่จำเป็นต้องให้ปุ๋ยทางราก  ปล่อยให้ต้นรับสารอาหารจากดินปลูกที่เตรียมไว้ก็พอ
 
           -  หลุมที่หยอด 2 เมล็ด ถ้างอกเป็นต้นทั้ง 2 เมล็ดให้ตัดออก 1 ต้น โดยใช้กรรไกตัดโคนต้น  ไม่ควรถอนเพราะจะทำให้กระทบกระเทือนรากของต้นที่เหลือ

        2. ระยะต้นเล็ก
            ทางใบ  :
            - ให้น้ำ 100 ล. + 25-5-5 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.   ฉีดพ่นพอเปียกใบ  ทุก 5-7 วัน
            - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
  
          ทางราก  :
            -ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7  โดยการผ่านไปกับระบบน้ำหยดหรือฉีดพ่นบริเวณโคนต้น
            - ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้นด้วยระบบน้ำหยด
            หมายเหตุ  :
            - เริ่มให้ปุ๋ยทั้งทางรากและทางใบหลังจากต้นโตได้ใบ 4-5 คู่แล้ว
 
           - แคนตาลูปเป็นพืชเลื้อยไม่มีมือเกาะ  เมื่อเถาเริ่มยาว (สูง) ขึ้นให้ใช้เชือกผูกเข้ากับหลักหรือไม้ค้าง พร้อมกับใช้เชือกอีกเส้นหนึ่งผูกหลวมๆที่ยอดแล้วยกขึ้นเพื่อนำยอดขึ้นสูง  เมื่อเถายาวขึ้นก็ให้ยกยอดสูงตามขึ้นไปเรื่อยๆ   พยายามรักษาให้เถาตรงอยู่เสมอ
            - ผลจาการเตรียมดินดีทำให้ได้ใบและเถาขนาดใหญ่  ซึ่งจะส่งผลไปถึงผลผลิตที่คุณภาพดีอีกด้วย

              การตัดยอดเพื่อเอาผล
              ปลูกขึ้นค้างแบบ  2 กิ่งแขนง  :
            - หลังจากต้นกล้าโตได้ใบ 5-7 ใบแล้วให้เด็ดยอดเหนือข้อของใบสูงสุดประมาณ ½ ซม. ทาแผลรอยด้วยปูนกินหมากเพื่อป้องกันเชื้อโรค
  
          - หลังจากตัดยอดแล้วให้ปุ๋ยทางราก 25-7-7 อัตรา 1-2 ช้อนชา/ต้น  โดยละลายน้ำรดหรือโรยแล้วรดน้ำตามโชกๆเพื่อละลายปุ๋ยก็ได้.........จากนั้น ต้นจะแตกยอดใหม่จากข้อใต้รอยตัด 2-3 ยอด เรียกว่า  ยอดแขนง
            - พิจารณาตัดทิ้งยอดแขนงที่ไม่สมบูรณ์ออกแล้วเก็บยอดแขนงที่สมบูรณ์ไว้ 2 ยอด  ซึ่งยอดแขนงนี้ คือ ยอดที่จะเอาผลในอนาคต  เริ่มจัดระเบียบยอดแขนงให้เลื้อยไปในทิศทางที่จะไม่ชิดกับกิ่งแขนงข้างเคียง จนผลเบียดกันและเพื่อให้ใบทุกใบได้รับแสงแดดด้วย
            - เมื่อยอดแขนงทั้งสองโตจะแตกยอดพร้อมกับดอกออกมาใหม่ตามข้อ (ที่ข้อมีใบ) ทุกข้อ  ให้เด็ดยอดและดอกตั้งแต่แรกล่างสุดถึงยอดที่ 9 ทิ้งทั้งหมดแต่ให้คงเหลือใบไว้ วิธีเด็ดยอดและดอกทิ้งเหลือแต่ใบนี้วัตถุประสงค์หลัก คือ การไว้เถาและใบสำหรับเลี้ยงผลนั่นเอง
            - หลังจากเด็ดยอดครบทั้ง  9 ยอดแล้วให้เก็บดอกระหว่างข้อที่ 10 ถึงข้อที่ 13 ไว้  รอจนกระทั่งดอกพัฒนาเป็นผลจึงพิจารณาตัดทิ้งผลไม่สมบูรณ์ออก 2 ผลแล้วเก็บผลที่สมบูรณ์ไว้เพียง 1 ผล..........จากเถาต้นตอ  1 เถาหรือ  1 ต้นแล้วแตกแขนงเป็น  2 แขนง  ใน  1 แขนงไว้ผล  1 ผล  จึงเท่ากับเถาต้นตอ  1 ต้นหรือ  1 เถาได้ผล  2 ผลนั่นเอง
       
       ปลูกให้เลื้อยไปกับพื้นแบบ 2 กิ่งแขนง :
            - การบำรุงระยะกล้า.  การเด็ดยอดกับดอก.  การไว้ผล.  ปฏิบัติเหมือนการปลูกแบบขึ้นค้าง
            - ระยะที่เถาเจริญเติบโตเลื้อยไปกับพื้นนั้น  ให้จัดระเบียบเถาไม่ให้ทับซ้อนกัน
            - แคนตาลูปพันธุ์เบา (ซันเลดี้.เรดควีน.) ไว้ผลกิ่งแขนงละ 2 ผลได้ โดยให้แต่ละผลห่างกัน 8-10 ข้อใบ
            - หลังจากติดเป็นผลแล้ว ให้จัดหาวัสดุรองรับผลไม่ให้ผิวสัมผัสพื้นโดยตรง พร้อมกับห่อผลเพื่อรักษาสีผิวให้สวย
             ปลูกขึ้นค้างแบบ  3 กิ่งแขนง  :
            - การปฏิบัติเหมือนการปลูกให้เลื้อยไปกับพื้นแบบ 2 กิ่งแขนง  ต่างกันที่ให้ไว้กิ่งแขนงที่เกิดจากการตัดยอดครั้งแรก  3 กิ่ง
            - ไว้ผลจากกิ่งแขนงทั้ง  3 นี้ ณ ข้อใบที่ 13-14  กิ่งแขนงละ  1 ผล  เท่ากับเถาต้นตอ  1 เถาได้ 3 ผล
            หมายเหตุ  :
            - สายพันธุ์ติดผลดกสามารถไว้ผลมากกว่า  1 ผล/1 กิ่งแขนงได้  โดยไว้ผลที่  2 สูงหรือห่างจากผลแรก 8-10 ข้อใบ  ทั้งนี้จะต้องเลี้ยงเถาให้มีความยาวรอไว้ก่อน
            
- หลังจากได้จำนวนผลไว้ตามต้องการแล้ว  ให้หมั่นเด็ดยอดแตกใหม่จากข้อที่อยู่สูงกว่าผลขึ้นไปทุกยอดเพื่อไม่ให้เกิด ดอกจนเป็นผลซ้อนขึ้นมาอีก และเมื่อเถาโตจนถึงใบที่ 24-25 ก็ให้ตัดยอดเพื่อหยุดการเติบโตของเถา  และเพื่อบังคับให้ต้นส่งธาตุอาหารไปเลี้ยงผลที่ไว้อย่างเต็มที่
            - แคนตาลูปมีช่วงพัฒนาการทุกช่วงค่อนข้างสั้น  การให้สารอาหารต่างๆผ่านทางใบนั้นให้ได้เพียง 1-2 ครั้งเท่านั้นซึ่งอาจจะไม่พอเพียง  แนวทางแก้ไขคือ  เตรียมสารอาหารต่างๆให้พร้อมไว้ในดินหรือวัสดุปลูกก่อนลงมือปลูก  ทั้งนี้สารอาหารที่แคนตาลูปต้องใช้จริงจำนวน  3 ใน  4  ส่วนได้จากดินหรือวัสดุปลูก  กับ 1 ใน 4  ส่วนได้จากทางใบ

       3.  ระยะออกดอก
            ทางใบ  :
            - ให้น้ำ 100 ล. + 15-45-15 (400 กรัม)  + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ฮอร์
โมนไข่ 25 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.   ทุก 5-7 วัน   ฉีดพ่น
พอเปียกใบ
   
            - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก  3  วัน
            ทางราก  :
   
            - ให้  8-24-24 (1-2 กก.)/ไร่
   
            - ให้น้ำสม่ำเสมอพอหน้าดินชื้นด้วยระบบน้ำหยด
            หมายเหตุ  :
            - ธรรมชาติของแคนตาลูปออกดอกเองเมื่อโตได้อายุโดยไม่ต้องเปิดตาดอก  ก่อนถึงช่วงออกดอก 7-10 วัน  ถ้าได้รับสารอาหารทางใบกลุ่มสะสมอาหารเพื่อการออกดอก (0-42-56 หรือ กลูโคส  หรือ นมสัตว์สด อย่างใดอย่างหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม) เพียง 1 รอบเท่านั้นก็จะช่วยให้ดอกที่ออกมาสมบูรณ์ดีกว่าไม่ได้ให้เสียเลยหรือปล่อย ให้ออกแบบตามมีตามเกิด  นอกจากนี้ต้น (เถา) ยังเขียวเข้มอวบอ้วนและเตี้ยทำให้ง่ายต่อการเข้าไปทำงานอีกด้วย
   
         - ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตาม ความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก  ฉีดพ่นที่ดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
            - บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น  “สังกะสี และ แคลเซียม โบรอน”  โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ด้วยวิธีให้เดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
            - การช่วยผสมเกสรด้วยมือโดยเด็ดดอกตัวผู้  ตัดกลีบดอกออกทิ้งเหลือแต่ก้านเกสรตัวผู้ นำไปผสมกับเกสรตัวเมียของดอกที่คงไว้จะช่วยให้ดอกนั้นพัฒนาเป็นผลคุณภาพดี

       4.  ระยะผลเล็ก
            ทางใบ  :
             ให้ น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100  ซีซี. + ไคโตซาน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร  250  ซีซี.    ทุก  7-10 วัน   ฉีดพ่นพอปียกใบ
   
          - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรทุก  2-3  วัน
  
            ทางราก  :
             - ให้ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการให้เมื่อช่วงเตรียมดิน
 
            - ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง +  25-7-7 (½-1 กก.) ละลายน้ำแล้วผ่านไปกับระบบน้ำหยดหรือฉีดพ่นบริเวณโคนต้น
            หมายเหตุ  :
            - ให้ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
            - ให้แคลเซียม โบรอน,  เอ็นเอเอ.,  ฮอร์โมนไข่,  1-2 รอบ  ห่างกันรอบละ 20-30 วัน โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลเล็ก  เมื่อผลใหญ่ขึ้นจะมีคุณภาพดี

       5.  ระยะผลกลาง
            ทางใบ  :
            - ให้   น้ำ 100 ล, + 21-7-14 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม  100 ซีซี. + เอ็นเอเอ. 25 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + ไคโตซาน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.    ฉีดพ่นให้เปียกโชกทั้งใต้ใบบนใบลงถึงพื้น   ทุก 5-7 วัน
            - ให้สารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
 
           ทางราก  :
            ให้น้ำหมักชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 21-7-14  สลับกับ  8-24-24  ทุก 15-20 วัน  โดยผ่านไปกับระบบน้ำหยดหรือฉีดพ่นบริเวณโคนต้น
            หมายเหตุ  :
         
   - ถ้าติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน  1-2 รอบ  ห่างกันรอบละ 20-30 วัน โดยแบ่งให้ตลอดช่วงผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากแบกภาระเลี้ยงผลและทำให้ผลมีคุณภาพดี
            - ให้กลูโคสหรือนมสัตว์สด 1 รอบ (ไม่ควรมากกว่านี้) เมื่ออายุผลได้ 50 เปอร์เซ็นต์
            - ให้ฮอร์โมนสมส่วน 1-2 รอบ  ห่างกันรอบละ 20-30 วันเพื่อขยายขนาดผล

       6.  ระยะผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
        
    ทางใบ  :
            - ให้น้ำ  100  ล. + 0-21-74 (400 ซีซี.) หรือ 0-0-50 (400 ซีซี.) สูตรใดสูตรหนึ่ง + แคลเซียม โบรอน 100  ซีซี. + กำมะถัน 25 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.   หรือ   น้ำ100 ล.+ มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี.+ ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี.(เน้น กำมะถัน) + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.  1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน ก่อนเก็บเกี่ยว  ฉีดพ่นพอเปียกใบ
 
            - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร ทุก 2-3 วัน
  
           ทางราก  :
             - เปิดหน้าดินโคนต้น
  
           - ให้ 13-13-21 ละลายน้ำแล้วผ่านไปกับระบบน้ำหยด
 
            หมายเหตุ  :
             - ถ้าการบำรุงดีถูกต้องสมบูรณ์แบบจริงๆ  อายุผลตามสายพันธุ์ของแคนตาลูปจะไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก  นั่นคือ  สามารถเก็บเกี่ยว ณ วันครบอายุได้เลย
            - มาตรการงดน้ำก่อนเก็บเกี่ยวมีความสำคัญมากต่อคุณภาพ (เนื้อ กลิ่น รส)ของแคนตาลูป  กรณีที่ให้น้ำผ่านระบบน้ำหยดจะต้องหยุดให้ก่อนเก็บเกี่ยว 5-7 วัน ขั้นตอนนี้อาจเปิดหน้าดินโคนต้นเสริมด้วย
 
            - แคนตาลูปไม่ใช่ผลไม้รสหวานจัด ดังนั้นการให้ปุ๋ยเพื่อเร่งหวานทั้งทางใบและทางรากจะช่วยให้รสหวานจัดขึ้น
             - ให้กำมะถัน 1 รอบจะช่วยบำรุงให้กลิ่นดีขึ้น
 
            - พิสูจน์คุณภาพผลด้วยการดมกลิ่น  ถ้ามีกลิ่นหอมแสดงว่าดี  ถ้าไม่มีกลิ่นหอมแม้จะเก็บเกี่ยวมาแล้วหลายวันก็ไม่กลิ่น
             - ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง

view