สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เก๋าลัด (ไทย)



เก๋าลัด (ไทย)
      

     
            ลักษณะทางธรรมชาติ

       * เป็นไม้ผลยืนต้นอายุหลายสิบปี  ขนาดพุ่มกว้าง สูงปานกลางและโปร่ง  ดอกสีชมพูสวยกลิ่นหอมอ่อนๆ จึงเหมาะทั้งสำหรับปลูกเป็นไม้กินผลรับประทานและไม้ผลประดับสวน ในประเทศไทยมีปลูกกันมากมานานแล้วในเขต จ.น่าน  จ.แพร่
       *  เก๋าลัดจีนใช้วิธีคั่วด้วยทราย  แต่เก๋าลัดไทยใช้วิธีต้มให้สุกธรรมดาๆ
       * เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ดินร่วน  เนื้อดินลึก  อินทรียวัตถุมากๆ  น้ำและอากาศถ่ายสะดวก  ชอบความชื้นสูง  ไม่ทนต่อสภาพน้ำขังค้าง ดินเหนียวจัด
       * ช่วงพักต้นต้องการน้ำน้อยแต่ช่วงออกดอกติดผลต้องการน้ำสม่ำเสมอ
       * เก๋าลัดไทยมีดอกสมบูรณ์เพศผสมกันเองได้  แต่เก๋าลัดจีนแยกต้นเป็นต้นตัวผู้  ต้นตัวเมีย  และต้นกระเทย  และต้องอาศัยการผสมเกสรข้ามต้น
       * เก๋าลัดในไทยออกดอกติดผลปีละ 2 รุ่น แต่เก๋าลัดจีนออกดอกติดผลปีละ 1 รุ่นเท่านั้น
       * ต้นที่ปลูกจากการเพาะเมล็ดให้ให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 4-5 ปีหลังปลูก  ส่วนต้นที่ปลูกจากกิ่งตอนจะให้ผลผลิตเมื่ออายุต้น 2-3 ปีหลังปลูก  และต้นที่ได้รับการเสริมรากก็จะให้ผลผลเร็วกว่าต้นกิ่งตอน
       * ระบบรากไม่ค่อยแข็งแรง  แก้ไขด้วยการเสียบยอดเก๋าลัดบนตอต้นก่อและเสริมรากด้วยรากก่อ จะช่วยให้ต้นสมบูรณ์ให้ผลผลิตดีขึ้น
       * ในแปลงปลูกเก๋าลัดไร้สารเคมีและปุ๋ยเคมีมักจะมีเห็ดตะไคล หรือตะไคลหลังเขียว (รับประทานได้) เกิดขึ้นเสมอ  และถ้านำหน้าดินบริเวณที่มีเห็ดตะไคลเคยเกิดขึ้นมาหว่านในเขตทรงพุ่มเก๋า ลัด  เชื้อเห็ดที่นำมาหว่านนั้นสามารถเจริญเติบโตเป็นดอกเห็ดได้ และจะมีเห็ดเกิดขึ้นทุกปีเป็นประจำตราบเท่าที่สภาพแวดล้อมยังเหมาะสม
 
            สายพันธุ์

          พันธุ์พื้นเมืองหรือเก๋าลัดไทย    ปลูกง่าย โตเร็วและให้ผลผลิตเร็ว
          พันธุ์วาวี-2  หรือเก๋าลัดจีน    ปลูกกันมากที่ดอยวาวี
 
          การขยายพันธุ์
 
           เพาะเมล็ด (กลายพันธุ์). ใช้เมล็ดแก่จัดร่วงจากต้นใหม่ๆแล้วนำลงเพาะทันที เพราะเมล็ดเก๋าลัดไม่มี ระยะพักตัว ต้นที่เกิดจากการเพาะเมล็ด ช่วง 1 ปีแรกจะโตเร็วมากเพราะได้รับสารอาหารและจุลินทรีย์ไมโครไรซ่าที่ติดมากับ เมล็ด เมื่ออาหารและจุลินทรีย์กลุ่มนี้หมดไปต้นจะโตช้ามาก      แนวทางแก้ไข คือ ใส่อินทรีย์วัตถุหมักข้ามปีและเปลือกถั่วลิงสงซึ่งมีจุลินทรีย์ คีโตเมียม. ไรโซเบียม. และไมโครไรซ่า.อยู่ด้วย ผสมดินปุ๋ยคอกแล้วหมักจนกว่าเปลือกถั่วลิสงเปื่อยยุ่ย รองก้นหลุมปลูก ก็จะช่วยอาการชะงักการเจริญเติบโตได้  จากนั้นให้ใส่เปลือกถั่วลิสงปีละครั้ง
        - เสียบยอดบนตอต้นก่อ (ดีที่สุด).  ตอน.

       
      ระยะปลูก
         - ระยะปกติ  6 X 6  ม. หรือ  6 X 8 ม.
         - ระยะชิด   4 X 4  ม.  หรือ  4 X 3 ม.

           เตรียมดินและอินทรีย์วัตถุ
         - ใส่ปุ๋ยคอก (มูลวัวเนื้อ/นม + มูลไก่ไข่/เนื้อ/นกกระทา..แห้งเก่าข้ามปี) ปีละ 2 ครั้ง
         - ให้ยิบซั่มธรรมชาติ  ปีละ 2 ครั้ง
         - ให้กระดูกป่น  ปีละ 1 ครั้ง
         - คลุมโคนต้นด้วยเศษพืชแห้งหนาๆเต็มพื้นที่บริเวณทรงพุ่ม  ล้ำออกไปถึงนอกเขตทรงพุ่ม
         - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิงหรือจุลินทรีย์ 1-2 เดือน/ครั้ง
           หมายเหตุ  :
         - การฝังซากสัตว์ เช่น หอยเชอรี่  ปลาสด  เป็นชิ้นเท่าลูกมะนาวหรือบดละเอียด ที่ชายเขตทรงพุ่ม 4-5 หลุม/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม. ฝังปีเว้นปี เพื่อให้ต้นมีสารอาหารกินตลอด 24 ชม. ต่อเนื่องหลายๆปีจะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์สูงพร้อมต่อการบำรุงทุกขั้นตอน
         - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพ (ทางใบ-ทางราก) บ่อยเกินไปจะทำให้ต้นหยุดการเจริญเติบโต ไม่แตกใบอ่อน  ผลหยุดขยายขนาดแล้วกลายเป็นผลแก่  การให้ทางใบอาจเป็นแหล่งอาศัยและแพร่ระบาดของเชื้อราได้
         - ฮอร์โมนธรรมชาติและฮอร์โมนวิทยาศาสตร์จะให้ประสิทธิภาพเต็มร้อยก็ต่อเมื่อ ต้นมีสภาพความสมบูรณ์สูง
 

              เตรียมต้น

              
ตัดแต่งกิ่ง :
          - เก๋าลัดออกดอกจากซอกใบปลายกิ่งอายุข้ามปี  การตัดแต่งกิ่งประจำปีหรือหลังเก็บเกี่ยวผลผลิตให้ตัดเฉพาะกิ่งที่ออกดอกติด ผลเพื่อสร้างใบใหม่สำหรับให้ออกดอกติดผลในรุ่นปีต่อไป  ส่วนกิ่งที่ไม่ออกดอกติดผลในปีนี้ให้คงไว้แล้วบำรุงต่อไป
          - ตัดกิ่งบังแสงแดดต่อกิ่งอื่นออก ทำให้ทรงพุ่มโปร่งจนแสงแดดสามารถส่องได้ถึงทุกกิ่งทั่วทรงพุ่ม  กิ่งได้รับแสงแดดจะสมบูรณ์ดีกว่ากิ่งไม่ได้รับแสงแดดหรือได้รับแสงแดดน้อย
          - ตัดกิ่งกระโดง  กิ่งในทรงพุ่ม  กิ่งคดงอ  กิ่งชี้ลง  กิ่งไขว้  กิ่งหางหนู  กิ่งเป็นโรค และกิ่งที่ออกดอกติดผลแล้วเพื่อเรียกยอดใหม่สำหรับออกดอกติดผลในรุ่นปีต่อ ไป     การตัดแต่งกิ่งภายในทรงพุ่มควรให้โปร่งจนแสงส่องผ่านลงไปถึงโคนต้นได้
          - ตัดแต่งกิ่งปกติควรตัดให้เหลือใบประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์และเมื่อใบอ่อนชุดใหม่ออกมาแล้วให้มีใบประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์จะช่วยให้การผลิดอกติดผลดี
          - ตัดยอดกิ่งประธาน (ผ่ากบาล) ณ ความสูงต้นตามต้องการ ให้แสงแดดผ่านจากยอดเข้าสู่ภายในทรงพุ่มได้อย่างทั่วถึงแล้วแสงแดดที่ร้อน ยังช่วยกำจัดเชื้อราได้เป็นอย่างดี และเพื่อควบคุมขนาดความสูงทรงพุ่มอีกด้วย
          - นิสัยเก๋าลัดมักออกดอกหลังจากกระทบหนาวได้ระยะหนึ่ง ดังนั้นจึงควรตัดแต่งกิ่ง-เรียกใบอ่อนช่วงต้นหน้าฝนแล้วเข้าสู่ขั้นตอนการ บำรุงต่อไปตามลำดับ จะทำให้ต้นมีความสมบูรณ์เต็มที่ดีกว่าการตัดแต่งกิ่งในช่วงอื่น หมายความว่า หลังจากเก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วยังไม่ต้องตัดแต่งกิ่งแต่ให้บำรุงตามปกติต่อไป ก่อน  จนกระทั่งเข้าสู่หน้าฝนจึงลงมือตัดแต่งกิ่ง
           ตัดแต่งราก  :
         - ระยะเก๋าลัดต้นอายุยังน้อยไม่ควรตัดแต่งราก แต่ถ้าต้องการสร้างรากใหม่ให้มีประสิทธิภาพในการหาอาหารดียิ่งขึ้นใช้วิธี ล่อรากด้วยการพูนโคนต้นด้วยดิน 3 ส่วนกับอินทรียวัตถุ 1 ส่วน
         - ต้นที่อายุหลายปี  ระบบรากเก่าและแก่มาก  ให้พิจารณาตัดแต่งรากส่วนปลายออก 1 ใน 4 ด้วยการพรวนดินรอบทรงพุ่มลึก 10-15 ซม. หลังจากให้ฮอร์โมนบำรุงรากไปแล้วต้นจะแตกรากใหม่จำนวนมากขึ้นและมีประสิทธิภาพในการดูดซับสารอาหารได้ดีกว่าเดิม
 
                            ขั้นตอนการปฏิบัติบำรุงเก๋าลัด


         1. เรียกใบอ่อน
            ทางใบ :
          - ให้น้ำ 100 ล. + 46-0-0 (400 กรัม) หรือ 25-7-7 (400 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + จิ๊บเบอเรลลิน 10 กรัม + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
           - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
               ทางราก :
           - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1-2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
           - ให้น้ำปกติ  ทุก 2-3 วัน
             หมายเหตุ :
           - เริ่มลงมือปฏิบัติทันทีหลังจากตัดแต่งกิ่ง
            - หลังจากให้ทางใบไปแล้ว 5-7 วัน ต้นใดแตกใบอ่อนน้อยกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ให้ฉีดพ่นซ้ำรอบ 2 ด้วยอัตราและวิธีการเดิม  เพราะถ้าต้นแตกใบอ่อนไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้นจะส่งผลเสียหลายอย่างตั้งแต่การ เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่  การสะสมอาหารเพื่อการออก  การปรับ ซี/เอ็น เรโช.  การเปิดตาดอก  ซึ่งจะออกดอกไม่พร้อมกันทั่วทั้งต้น  และเมื่อดอกออกไม่พร้อมกันก็กลายเป็นผลไม่พร้อมกันทำให้ยุ่งยากต่อการ ปฏิบัติบำรุงตามขั้นตอนอย่างมาก...........แนวทางแก้ไข คือ ต้องบำรุงเรียกใบอ่อนให้ออกมาเป็นชุดเดียวพร้อมกันทั้งต้นให้ได้
         - ไม่ควรตัดแต่งรากเพราะเก๋าลัดมีรากจำนวนน้อยอยู่แล้ว แต่ให้ใช้วิธีล่อรากแล้วบำรุงด้วยปุ๋ยหมัก/ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีส่วนผสมของรำละเอียด และฮอร์โมนบำรุงรากจะช่วยให้แตกรากใหม่เร็วและดี
         - ก่อนตัดแต่งกิ่งให้บำรุงก่อนจนต้นเริ่มผลิตาใบก่อน  แล้วจึงลงมือตัดแต่งกิ่งจะช่วยให้ต้นแตกใบอ่อนชุดใหม่ดีกว่าตัดแต่งกิ่งแล้ว จึงลงมือบำรุง
         - รักษาใบอ่อนแตกใหม่ละชุดให้รอดพ้นจากโรคและแมลงให้ได้   ถ้าใบอ่อนชุดหนึ่งชุดใดถูกทำลายไปจะต้องเริ่มเรียกใบชุดที่หนึ่งใหม่
         - เก๋าลัดต้องการใบอ่อน 2 ชุด  ถ้าต้นสมบูรณ์ดี  มีการเตรียมดินและปรับปรุงบำรุงดินสม่ำเสมอต่อเนื่องมาหลายๆปีแล้ว  หลังจากใบอ่อนชุดแรกเพสลาดแล้วให้เรียกใบอ่อนชุด 2 ต่อได้เลย  ใบชุด  2 นี้อาจจะออกไม่พร้อมกันทั้งต้นเหมือนชุดแรกแต่ก็จะออกห่างกันไม่เกิน 7-10 วัน      และหลังจากใบอ่อนชุด 2 เพสลาดก็ให้เข้าสู่ขั้นตอนการบำรุงต่อไปตามปกติ

          
2. เร่งใบอ่อนเป็นใบแก่
            ทางใบ  :
          - ให้ น้ำ 100 ล. + 0-21-74 (400 กรัม) หรือ 0-39-39 (400 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.  ฉีดพ่นพอเปียกใบ 1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
          - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
            ทางราก  :
               ให้น้ำปกติ  ทุก 2-3 วัน
               หมายเหตุ  :
          - เริ่มให้เมื่อใบอ่อนเริ่มแผ่กางรับแสงแดดได้
          - วัตถุประสงค์เพื่อเร่งใบชุดใหม่ให้สามารถสังเคราะห์อาหารได้ และเร่งระยะเวลาเรียกใบอ่อนชุดต่อไปได้เร็วขึ้น  กับทั้งเพื่อให้ใบอ่อนรอดพ้นจากทำลายของแมลงปากกัดปากดูด
          - สารอาหารในกลุ่มเร่งใบอ่อนเป็นใบแกมีฟอสฟอรัส.และโปแตสเซียม. นอกจากช่วยบำรุงให้ใบอ่อนเป็นใบแก่แล้วยังช่วยเสริมประสิทธิภาพขั้นตอนสะสม อาหารเพื่อการออกดอกได้ด้วย

            3. สะสมอาหารเพื่อการออกดอก
              ทางใบ :
            - ให้ น้ำ 100 ล. + 0-42-56 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. ทุก 7-10 วัน ติดต่อกัน 2-3 รอบ  ฉีดพ่นพอเปียกใบ ติดต่อกัน 1-2  เดือน
             - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
                  ทางราก :
             - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24  หรือ 9-26-26 สูตรใดสูตรหนึ่ง (1-2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./เดือน
             - ให้น้ำเปล่าปกติทุก 2-3 วัน
                หมายเหตุ  :
             - เริ่มปฏิบัติหลังจากใบอ่อนชุดสุดท้ายเพสลาด
             - ปริมาณ 8-24-24 หรือ 9-26-26 ใส่มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณการติดผลในรุ่นที่ผ่านมา  กล่าวคือ  ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลดกมาก  ผลผลิตมีคุณภาพดีมาก  ให้ใส่ในปริมาณที่มากขึ้น  แต่ถ้ารุ่นที่ผ่านมาติดผลดกน้อยหรือไม่ติดผลเลย  ให้ใส่ในปริมาณปานกลาง
             - การเพิ่มปริมาณปุ๋ยให้มากขึ้น  หมายถึง  การให้อัตราเดิมแต่ระยะเวลาให้ถี่ขึ้น  เช่น  จากเคยให้ 15 วัน/ครั้งก็ให้เปลี่ยนเป็น 10 วัน/ครั้ง
             - ขั้นตอนนี้มีความสำคัญต่อการออกดอกอย่างมาก  กล่าวคือ  เก๋าลัดต้องอาศัยอากาศหนาวเย็นเพื่อการปรับ ซี/เอ็น เรโช.ก่อนการออกดอก  ถ้าต้นสะสม ซี. และ เอ็น.ไม่มากพอ จะส่งผลให้ออกดอกน้อยหรือไม่ออกก็ได้
 
             
4. ปรับ  ซี/เอ็น  เรโช
               ทางใบ
             - ในรอบ 7 วันให้น้ำ 100 ล. + 0-42-56 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี. 1-2 รอบ  ห่างกับรอบละ5-7 วัน  ฉีดพ่นพอเปียกใบ  ระวังอย่าให้ลงถึงพื้น
                  ทางราก
             - เปิดหน้าดินโคนต้น
             - งดน้ำเด็ดขาด
               หมายเหตุ :
             - วัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มปริมาณ ซี. (อาหารกลุ่มสร้างดอก-บำรุงผล) และลดปริมาณ เอ็น. (อาหารกลุ่มสร้างใบ-บำรุงต้น) ซึ่งจะส่งผลให้ต้นออกดอกหลังการเปิดตาดอก
             - ก่อนลงมือปรับ ซี/เอ็น เรโช  จะต้องติดตามข่าวพยากรณ์อากาศให้มั่นใจว่าระหว่างปรับ ซี/เอ็น เรโช จะไม่มีฝนตก  เพราะถ้ามีฝนตกลงมา  มาตรการงดน้ำก็ต้องล้มเหลว
             - ต้นที่มีอาการอั้นตาดอกดีจนพอใจแล้วไม่ต้องฉีดพ่นกลูโคสหรือนมสัตว์สดเพิ่ม อีก แต่ถ้าต้นมีอาการอั้นตาดอกไม่ดีหรือยังไม่น่าพอใจ  แนะนำให้ฉีดพ่นกลูโคสหรือนมสัตว์ทางใบอีกซ้ำอีก 1 รอบ  โดยเว้นระยะเวลาให้ห่างจากที่เคยให้เมื่อช่วงสะสมอาหารไม่น้อยกว่า 30-45 วัน
             - ขั้นตอนการปรับอัตราส่วน  ซี/เอ็น  เรโช. สมบูรณ์หรือไม่ให้สังเกตจากต้น ถ้าต้นเกิดอาการใบสลดแสดงว่าในต้นมีปริมาณ ซี.มากส่วนปริมาณ เอ็น.เริ่มลดลง และความพร้อมของต้น (อั้นตาดอก) ก่อนเปิดตาดอก   สังเกตได้จากลักษณะใบใหญ่หนาเขียวเข้ม  กิ่งช่วงปลายและใบกรอบเปราะ  ข้อใบสั้น  หูใบอวบอ้วน ตาดอกโชว์เห็นชัด
             - การให้สารอาหารทางใบซึ่งมีน้ำเป็นส่วนผสมนั้น  อย่าให้โชกจนตกลงถึงพื้นเพราะจะกลายเป็นการให้น้ำทางราก  แนวทางปฏิบัติ คือ ให้บางๆเพียงเปียกใบเท่านั้น
             - เมื่องดน้ำ (ไม่รดน้ำ) แล้วต้องควบคุมปริมาณน้ำใต้ดินโคนต้นไม่ให้มากเกินไปโดยการทำร่องระบายน้ำ ใต้ดินหรือร่องสะเด็ดน้ำด้วย

            5. เปิดตาดอก
             ทางใบ  :
             สูตร 1
             ให้น้ำ 100 ล. + สาหร่ายทะเล 100 ซีซี. + ฮอร์โมนไข่ (ทำเอง) 100 ซีซี. +
ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
             สูตร 2
             ให้น้ำ 100 ล. + 13-0-46 (500 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.
             เลือกใช้สูตรใดสูตรหนึ่งหรือทั้งสองสูตรแบบสลับกัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ  ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
               ทางราก :
          -  ให้  8-24-24 (½ กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./ครั้ง
          -  ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
                หมายเหตุ  :
          -  เลือกใช้ให้ทางใบด้วยสูตรใดสูตรหนึ่งหรือใช้ทั้งสองสูตรแบบสลับครั้งกันก็ได้
          - ถ้าอากาศหนาวเย็นไม่พอให้เปิดตาดอกด้วย   “น้ำ 100 ล.+ 13-0-46 (1 กก.) + 0-52-34 (500 กรัม) + สาหร่ายทะเล 100 กรัม + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 กรัม”  ฉีดพ่นพอเปียกใบ  ช่วงเช้าแดดจัด  1-2 รอบ  ห่างกันรอบละ 5-7 วัน  ก็อาจจะช่วยให้ดอกออกมาได้
           
- หลังจากเปิดตาดอกแล้ว ถ้าดอกออกมาไม่มากพอ ระหว่างที่ดอกชุดแรกยังเป็นดอกตูมอยู่นั้น ให้เปิดตาดอกซ้ำอีก 1-2 รอบด้วยสูตรเดิม หรือจนกระทั่งดอกชุดแรกบานแล้วจึงยุติการเปิดตาดอกซ้ำ

          6. บำรุงดอก
            ทางใบ  :
            ให้ น้ำ 00 ล. + 15-45-15 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + เอ็นเอเอ.100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.   ฉีดพ่นพอเปียกใบ  1-2 รอบ  ห่างกันรอบละ 5-7 วัน
               ทางราก  :
          - ให้ 8-24-24 (½ กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
          - ให้น้ำปกติ  ทุก 2-3 วัน
              
หมายเหตุ  :
          - ช่วงดอกตั้งแต่เริ่มแทงออกมาให้เห็นหรือระยะดอกตูม  บำรุงด้วยฮอร์โมน เอ็นเอเอ. 1-2 รอบ จะช่วยบำรุงเกสรทั้งตัวผู้และตัวเมียให้สมบูรณ์พร้อมรับผสม    แต่ต้องใช้ด้วยระมัดระวังเพราะถ้าให้เข้มข้นเกินไปจะเกิดความเสียหายต่อดอก และถ้าให้อ่อนเกินไปก็จะไม่ได้ผล
          - ช่วงดอกตูมควรฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้บ่อยขึ้น เพื่อป้องกันกำจัดโรคและแมลงศัตรูจนถึงช่วงดอกบาน
          - ช่วงดอกบานควรงดการฉีดพ่นทางใบโดยเฉาะช่วงกลางวัน (08.00-12.00 น.) เพราะอาจทำให้เกสรเปียกจนผสมไม่ติดได้  หากจำเป็นต้องฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพรให้ฉีดพ่นช่วงหลังค่ำ
          - ระยะดอกบานถ้าตรงกับช่วงฝนชุกเกสรจะเปียกชื้นทำให้ผสมไม่ติด แก้ไขโดยกะระยะเวลาเปิดตาดอกให้ดอกออกมาแล้วไม่ตรงกับช่วงฝนชุกเท่านั้น แต่ถ้าดอกออกมาตรงกับช่วงแล้งอากาศร้อนมากเกสรจะฝ่อทำให้ผสมไม่ติดเช่นกัน แก้ไขโดยการสร้างความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศและที่พื้นดินในทั้งในแปลงปลูกและรอบๆแปลงปลูก...มาตรการบำรุงต้นและดอกให้สมบูรณ์อย่างแท้จริงอยู่เสมอตั้งแต่เริ่มต้นจะช่วยลดความสูญเสียได้เป็นอย่างมาก
          - เพื่อความมั่นใจในเปอร์เซ็นต์หรือประสิทธิภาพของฮอร์โมน เอ็นเอเอ. แนะนำให้ใช้ฮอร์โมน เอ็นเอเอ.วิทยาศาสตร์แทนฮอร์โมน เอ็นเอเอ.ทำเองจะได้ผลกว่า
          - ฉีดพ่นสารอาหารเพื่อบำรุงดอกด้วยเครื่องมือฉีดพ่นที่มีแรงลมพ่นเบาที่สุดตาม ความเหมาะสมเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนต่อส่วนต่างๆของดอก  ฉีดพ่นที่ช่อดอกโดยตรงพอเปียกหรือฉีดพ่นให้ทั่งทรงพุ่มพอเปียกใบก็ได้
          - บำรุงดอกช่วงฝนชุกให้เน้น  “สังกะสี และ แคลเซียม โบรอน”  โดยให้เมื่อดอกออกมาแล้วหรือให้แบบสะสมล่วงหน้าตั้งแต่ช่วงเปิดตาดอก ด้วยวิธีให้เดี่ยวๆหรือผสมรวมไปกับธาตุอาหารอื่นๆก็ได้
           - การไม่ใช้สารเคมีกำจัดแมลงเลยติดต่อกันมาเป็นเวลานานๆจะมีผึ้งหรือมีแมลง ธรรมชาติอื่นๆเข้ามาช่วยผสมเกสรส่งผลให้ติดผลดกขึ้น
 
           7. บำรุงผลเล็ก

            ทางใบ :
          - ให้น้ำ 100 ล. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + แคลเซียม โบรอน 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.    ฉีดพ่นพอเปียกใบ ทุก 5-7 วัน
          - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
               ทางราก :
          - นำอินทรีย์วัตถุกลับเข้าคลุมโคนต้นให้เหมือนเดิม
          - ให้ยิบซั่มธรรมชาติ 10 เปอร์เซ็นต์ของอัตราการใส่เมื่อช่วงเตรียมดิน
          - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภารพระเบิดเถิดเทิง + 25-7-7 (1/2 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./ครั้ง/
เดือน
          - ให้น้ำปกติทุก 2-3 วัน
               หมายเหตุ  :
            เริ่มปฏิบัติหลังจากกลีบดอกร่วง  หรือขนาดผลเท่าเมล็ดถั่วเขียว
 
         
8. บำรุงผลกลาง
              ทางใบ :
          - ให้น้ำ 100 ล. + 21-7-14 (400 กรัม) + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + ไคโตซาน 100 ซีซี.+ สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.    ทุก 7-10 วัน ฉีดพ่นพอเปียกใบ
          - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
               ทางราก :
          - ให้ปุ๋ยน้ำชีวภาพระเบิดเถิดเทิง + 8-24-24 (1/2 กก)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม./ครั้ง/
เดือน
          - ให้น้ำปกติ  ทุก 2-3 วัน
            หมายเหตุ  :
          - เริ่มปฏิบัติเมื่อเมล็ดเริ่มเข้าไคล
         - การบำรุงเก๋าลัดระยะผลขนาดกลางต้องให้น้ำมากสม่ำเสมอแต่ต้องไม่ขังค้างโคน ต้น  ถ้าได้รับน้ำน้อยนอกจากจะทำให้เนื้อแข็งประด้าง  ผลไม่โต และหากมีฝนตกหนักลงมาอาจจะทำให้ผลแตกผลร่วงได้เหมือนกัน
         - เริ่มลงมือบำรุงระยะผลขนาดกลางเมื่อเมล็ดเริ่มเข้าไคล  การที่จะรู้ว่าผลเริ่มเข้าไคลแล้วจะต้องใช้วิธีสุ่มเก็บผลมาผ่าดูเมล็ดภายใน
         - ถ้าต้นติดผลดกมากควรให้ฮอร์โมนน้ำดำ กับ แคลเซียม โบรอน 1-2 รอบ โดยแบ่ง
ให้ตลอดระยะผลกลางจะช่วยให้ต้นไม่โทรมเนื่องจากรับภาระเลี้ยงผลมาก  ช่วยบำรุงเมล็ดให้
ใหญ่และคุณภาพดีขึ้น

           9. บำรุงผลแก่ก่อนเก็บเกี่ยว
            ทางใบ :
          - ให้น้ำ 100 ล. + 0-0-50 (400 กรัม) หรือ 0-21-74  (400 กรัม) สูตรใดสูตรหนึ่ง + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.  หรือ  น้ำ 100 ล. + มูลค้างคาวสกัด 100 ซีซี. + ธาตุรอง/ธาตุเสริม 100 ซีซี. + สารสกัดสมุนไพร 250 ซีซี.   1-2 รอบ ห่างกันรอบละ 5-7 วันก่อนเก็บเกี่ยว  ฉีดพ่นพอเปียกใบ
           - ฉีดพ่นสารสกัดสมุนไพร  ทุก 2-3 วัน
                ทางราก :
           - เปิดหรือไม่เปิดหน้าดินโคนต้นและนำอินทรียวัตถุออกหรือไม่ต้องนำออกก็ได้
           - ให้ 13-13-21 หรือ  8-24-24  สูตรใดสูตรหนึ่ง (1 กก.)/ต้นทรงพุ่ม 3-5 ม.
           - ให้น้ำเพื่อละลายปุ๋ยแล้วงดน้ำเด็ดขาด
                หมายเหตุ  :
           - เลือกให้ทางใบสูตรใดสูตรหนึ่ง
           - เริ่มปฏิบัติก่อนเก็บเกี่ยว 10-20 วัน
           - การบำรุงผลแก่ใกล้เก็บเกี่ยวโดยให้ทางรากด้วย 8-24-24 เหมาะสำหรับต้นที่มีผลหลายรุ่นซึ่งหลังจากเก็บเกี่ยวผลแก่รุ่นแรกไปแล้วจะ ช่วยบำรุงผลชุดหลังต่อ นอกจากนี้ยังทำให้ต้นไม่โทรมเหมาะสำหรับการเตรียมความพร้อมต้นต่อการปฏิบัติบำรุงรุ่นปีต่อไปอีกด้วย

view